เจ้าของหัวเว่ย รวยจริงไม่ฟุ้งเฟ้อ แม้มีเงินเป็นล้าน ๆ แต่ซื้อรถมือสอง ราคา 5 แสนบาท

สำหรับแบรนด์ “หัวเหว่ย”  ต้องบอกเลยว่า ตอนนี้ได้กลายเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกไปแล้ว ซึ่งเจ้าของหัวเหว่ยนั้นมีชื่อว่า “หยิ่มเจี๊ยฮุย” นั่นเอง ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจว่า ‘หัวเว่ย’ เป็นแค่บริษัทผลิตโทรศัพท์มือถือ แต่อันที่จริงแล้วหัวเว่ย ยังรับติดตั้งสัญญาณโทรศัพท์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเครือข่ายบริการอยู่ใน 150 ประเทศ และมีประชากรโลกใช้บริการอยู่ร่วม 2,000 ล้านคน

ระบบเทคโนโลยี 4G ที่เกิดขึ้นในยุโรป ก็ได้หัวเว่ยเป็นรายแรก ๆ ที่เข้าไปพัฒนาให้ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนของหัวเว่ยในยุโรปมีมากถึง 50% ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา หัวเว่ยทำเงินจากทั่วโลกจากธุรกิจในเครือแล้วกว่า 2.3 ล้านล้านหยวน เป็นรายได้ที่มาจากต่างประเทศถึง 70%

ปี 2016 หัวเว่ยได้รับรางวัลเกียรติยศชั้นสูงสุดจากประเทศจีน ในสาขาสินค้าคุณภาพ จากกระทรวงเทคโนโลยี และหวาดรางวัลเกียรติยศต่าง ๆ มาแล้วกว่า 700 รางวัล แม้เศรษฐกิจโลกจะผลักให้เกิดภาวะถดถอยทางการตลาด ไม่เว้นแม้แต่ ‘Apple’ แต่หัวเว่ยกลับมีผลประกอบการเป็นบวก โดยเฉพาะธุรกิจมือถือที่ทุกคนกำลังจับตามอง

ปีที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจมือถือของ Huawei สามารถทำยอดขๅยแซง Apple ที่อยู่อันดับ 2 ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก จากยอดขๅยจำนวนทั้งสิ้น 355.2 ล้านเครื่อง

Samsung มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 20.3% ลดลงจาก 22.1% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

Huawei มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 14.6% เพิ่มขึ้นจาก 10.4% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

Apple มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 13.2% เพิ่มขึ้นจาก 12.4% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

…สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากผู้ชายที่ชื่อ ‘เหริน เจิ้งเฟย’ ผู้เป็นบิดาของ เมิ่ง หว่านโจว ที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้

…อะไรคือกลยุทธ์ที่ ‘เหริน’ ส่งให้ ‘อาณาจักรหัวเว่ย’ ยิ่งใหญ่มาถึงทุกวันนี้?

ต้องซื่อสัตย์

เขาสามารถทำกำไรมหาศาลจากธุรกิจทั่วโลก แต่เขาก็ไม่เคยลืมนำรายได้เหล่านั้นกลับมาเป็นภาษีให้ประเทศจีนกว่า 1.6 แสนล้านบาท เพราะเขามองว่าการเสียภาษีให้รัฐบาลจีนเต็มเม็ดเต็มหน่วย จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศที่ดียิ่งขึ้น และนั่นก็ทำให้ภาครัฐให้การสนับสนุนทุกอย่างที่หัวเว่ยอยากลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ต้องเลี้ยงดูคนให้ดีเท่าที่จะทำได้

เขาเคยกล่าวว่า “เมื่อได้ชัยชนะมา 1 ครั้ง พ่อแม่พี่น้องญาติสนิท มิตรสหายของเขา จะต้องได้กินข้าวเพิ่มอีก 1 ชาม” เขาจึงเลือกเจียดงบส่วนหนึ่งเพื่อไว้บริจาคให้เป็นแก่ลูกหลานแรงงานพนักงาน เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษา และความคิดที่ไม่เหมือนใครนี้ ทำให้พนักงานทุกคน กลายเป็นเกาะคอยคุ้มกันธุรกิจและสร้างแรงหนุนอย่างเข้มข้นให้กับหัวเว่ย

ต้องใช้ความสงบนิ่ง ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงจะมีอานาคตที่ยั่งยืนถาวร

หัวเว่ย อาจจะไม่ใช่แบรนด์ที่ออกมาบอกถึงความฉาบฉวยว่าตนเองเป็นเจ้าแห่งกระแสด้านใดด้านหนึ่ง แต่จะออกมาบอกกับผู้บริโภคเมื่อมั่นใจแล้วว่าสินค้าของตัวเองนั้นดีและพร้อมเพียงใด เพราะไม่ต้องการทำให้ผู้บริโภคผิดหวัง

ต้องไม่นำตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์

เขามองว่าในโลกของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การทำกำไรมหาศาลเหล่านั้นเกิดจากการปั่นตัวเลข และเขาไม่ต้องการเช่นนั้น เขายึดหลัก ‘กระดุมเม็ดแรก’ ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากความลำบากอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แล้วค่อย ๆ หากำไรแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่การปั่นเงินจากตลาดหุ้น มันไม่สมเหตุสมผลกับการพัฒนาใด ๆ เลย

เขาจึงไม่ยอมเอา ‘หัวเว่ย’ เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับนำหุ้น 98.6% กระจายให้พนักงานทุกคน ส่วนเขามีหุ้นในชื่อตัวเองแค่ 1.4% เท่านั้u (ได้ใจพนักงานเข้าไปอีก)

ต้องไม่ลืมความยากลำบากในชีวิต

เหริน มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน โดยเขาเป็นคนโต ยังชีพด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดของพ่อแม่ และแทบทุกสิ้นเดือนพ่อแม่ของเขาก็ต้องแบกหน้าไปยืมเงินจากเพื่อนบ้านบ่อย ๆ และนั่นก็ทำให้เขาไม่เคยคิดจะขออะไรที่เกินความจำเป็นจากที่บ้าน แม้แต่เสื้อใหม่ที่จะไปโรงเรียน และชีวิตในอดีตทำให้เขาไม่ลืมว่าต่อให้รวยแล้ว ก็ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องทำตัวเหมือนคนรวย

…แม้ทุกวันนี้ เหริน ในวัย 73 ปี จะกลายเป็นมหาเศรษฐีแห่งจีน แต่เขาก็ยังเข้าแถวรอขึ้นรถแท๊กซี่ ทำตัวเหมือนเช่นคนงานในสายการผลิตคนหนึ่ง ไม่เข้าสังคมที่ไร้สาระต่อธุรกิจ ไม่เข้าหานักการเมือง และปฎิเสธการเข้าร่วมกิจกรรมกับข้าราชการทุกระดับ

ขณะเดียวกันแม้จะมีทรัพย์สินมหาศาล แต่เขากลับเลือกขับรถมือ 2 ราคาไม่เกิน 1 แสนหยวน (ประมาณ 5 แสนบาท) แต่ต่อมาความเก่าของรถ ทำให้สตาร์ทไม่ติด จึงได้เปลี่ยนไปซื้อรถ BMW 730i ราคาประมาณ 1 ล้านหยวน (ประมาณ 5 ล้านบาท) นั่นเป็นทรัพย์สินที่สิ้นเปลืองที่สุดของท่านแล้ว

ทุกวันนี้คนจีนส่วนใหญ่รู้จัก เหริน เจิ้งเฟย และให้ความเคารพกับเขาอย่างสูง ถึงขั้นเป็นหนึ่งในไอดอลของคนจีนยุคใหม่กันเลยทีเดียว และไม่แปลกใจเลยที่ หัวเว่ย สามารถพาตัวเองขึ้นไปสู่ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังสร้างความหวั่นไหวให้กับ Samsung และ Apple เพราะพวกเขามี ‘ผู้นำ’ ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้นี่เอง

นอกจากนี้ยังมีภาพถูกเผยแพร่ออกมาอยู่เรื่อย ๆ สำหรับความติดดินและใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย โดยในปี 2017 เขาอายุ 72 ปี ได้มีชาวเน็ตแอบถ่ายภาพไว้ขณะที่เขาเข้าไปเข้าแถวรอขึ้นรถแท๊กซี่กลางดึกคนเดียว ที่สนามบินหงเฉียว ในเมืองเซี่ยงไฮ้

ในภาพนั้น ท่านกำลังลากกระเป๋าเดินทาง มือหนึ่งกำลังใช้โทรศัพพ์ ในขณะที่ต้องเข้าแถวรอรถแท๊กซี่เหมือนคนทั่วไป…

เมื่อภาพถูกเผยแพร่ออกไป คนในโซเชี่ยลได้แสดงการคารวะอย่างจริงใจกับท่าน.

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ปี 2012 ก็เคยมีคนถ่ายรูปท่าน กำลังขึ้นรถขนส่งผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ใส่เสื้อเก่า ๆ หิ้วกระเป๋าที่เก่าจนเป็นสีเหลือง มีความน้อบน้อมถ่อมตน และมารยาทที่งดงาม

ทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าของนักธุรกิจระดับโลก แต่ไม่ใช้อภิสิทธิกว่าคนทั่วไป จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยมีรถประจำตำแหน่ง

เขามักจะมีคำพูดติดปากอยู่ 3 คำ

1. ลูกค้า…เป็นศูนย์กลาง

2. การแข่งขันคือต้นทุนอย่างหนึ่ง

3. ต้องอุดหนุนคนที่ทำงานดิ้นรนอย่างยากลำบาก…

เขาห้ามลูกน้องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ กับตัวเอง เช่น เคยมีคนขับรถไปรับที่สนามบิน กลับถูกท่านสอนว่า…

“ลูกค้าจึงจะเป็นทั้งเสื้อผ้า อาหาร หรือบุพการีของเธอที่แท้จริง เธอควรจะใช้แรงกายและแรงใจ เอาใจใส่ให้กับลูกค้าทั้งหมด !”

“หัวเหว่ย” ไม่ใช่ผลิตแค่โทรศัพพ์มือถือ แต่บริษัทที่ผลิต ติดตั้ง เซตสัญญาณโทรศัพพ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเครือข่ายบริการอยู่ใน 150 ประเทศ มีประชากรโลกใช้บริการ “หัวเหว่ย” อยู่ร่วม 2,000 ล้านคน….

เทคโนโลยีระบบ 4g. ของยุโรป “หัวเหว่ย” มีสัดส่วนการลงทุน ถึง 50% ตั้งแต่ปี 2,000 เป็นต้นมา ภายใน 15 ปี “หัวเหว่ย” ทำเงินจากทั่วโลก เข้าบริษัทได้ถึง 2.3 ล้าน ๆ หยวน ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากต่างชาติถึง 70%

ปัจจุบัน…โทรศัพท์มือถือในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 20 ยี่ห้อ ที่ประสบกับภาวะถดถอยทางการตลาด ไม่เว้นแม้แต่ “แอปเปิล” แต่ “หัวเหว่ย” กลับมีผลประกอบการเพิ่มขึ้น เขาไม่เอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่กระจายหุ้นของบริษัท 98.6% ให้กับพนักงานของบริษัท ตัวเองมีหุ้นแค่ 1.4% เท่านั้u…

เพราะเห็นว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การทำกำไรมหาศาลเกิดจากการปั่นตัวเลขเท่านั้u ความจริงมนุษย์ในโลกนี้ ต้องเริ่มที่ธุรกิจบนพื้นฐานความจริง… ซึ่งการปั่นเงินจากตลาดหุ้น มันไม่ช่วยในการพัฒนาใด ๆ เลย เขาจึงไม่ยอมเอา “หัวเหว่ย” เข้าตลาดหลักทรัพย์

ทำให้พนักงาน “หัวเหว่ย” ทุกคน มีส่วนร่วมกับบริษัท เงินทุก ๆ หยวนที่เข้าบริษัท เปรียบเหมือนทุกคนได้ส่วนแบ่งด้วย ทำให้เขามีเกาะคุ้มกัน ข้างหน้า และแรงหนุนจากข้างหลัง…

เขามักกล่าวว่า “เมื่อผมได้ชัยชนะมา 1 ครั้ง ผมก็จะทำให้พ่อแม่พี่น้อง ญาติ มิตรสหาย ได้กินข้าวเพิ่มอีก 1 ชาม และยังจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งให้เป็นความหวังของลูกหลานแรงงาน สามารถใช้เป็นทุนการศึกษา ให้เด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือให้มากขึ้น

แม้เป็นถึงมหาเศรษฐี แต่กลับทำตัวธรรมดาสามัญ ในวัย 72 ไม่เข้าสังคมที่ไร้สาระต่อธุระกิจ ไม่เข้าหานักการเมือง และปฎิเสธการเข้าร่วมกิจกรรมกับข้าราชการทุกระดับ

แม้รวยมหาศาล แต่ขับรถมือ 2 ราคาไม่เกิน 1 แสนหยวน (ประมาณ 5 แสนบาท) ต่อมารถเก่าจนสตาร์ทไม่ติด จึงได้เปลี่ยนไปซื้อรถ BMW 730i ราคาประมาณ 1 ล้านหยวน (ประมาณ 5 ล้านบาท) นั่นเป็นทรัพย์สินที่สิ้นเปลืองที่สุดของท่านแล้ว…

ท่านนำเงินตราต่างประเทศเข้าจีนมากมายมหาศาล 6.6 ล้าน ๆ เสียภาษีให้รัฐบาลจีนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ประเทศจีน 1.6 แสนล้าน… ท่านกระจายหุ้นให้พนักงานทุก ๆ คน ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในบริษัท ทำให้รัฐบาลจีน ยกย่องให้เป็นนักธุระกิจดีเด่นแห่งชาติ

ปัจจุบันหัวเว่ยผงาดเป็นแบรนด์ที่ติด Top 100 ของโลก จากการจัดอันดับของ Forbes มียอดขๅย 86,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี มีพนักงาน 180,000 คนใน 170 ประเทศ และครองส่วนแบ่ง 20% ในตลาดโทรศัพท์มือถือโลก

แหล่งที่มา : เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง

เรียบเรียงโดย baansuann.com