หนุ่มโอนไว เข้ายื่นหลักฐานเพิ่ม ไม่เชื่อสาวหลอกเงิน 4 ล้าน หนีต่างประเทศ

หนุ่มใหญ่ โอนไว หรือ เฮีย ป. หลังหลงสาววัย 32 ปี โดนหลอกให้โอนเงินให้รวมแล้วเป็นเงินกว่า 4 ล้านบาทนั้น ได้เข้ามายื่นเอกสารเพิ่มเติม เพื่อให้อีกฝ่ายติดต่อมา เผยไม่เชื่อว่าหนีไปต่างประเทศตามที่ญาติบอก

จากกรณีที่ เฮีย ป. หนุ่มใหญ่วัย 53 ปี ชาว จ.สระบุรี ร้องขอให้ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ช่วยเหลือหลังถูก น้องแจง (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ซึ่งรู้จักกันผ่านทางเฟซบุ๊กประมาณ 2 ปี และไม่เคยเห็นหน้า หลอกให้โอนเงินไป 4 ล้านบาท และยังอ้างว่าพ่อและแม่เสียชีวิตโดยได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เสาไห้ จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 22 พ.ค.63 ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด (14 ก.ค.63) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้เสียหายหนุ่มใหญ่วัย 53 ปี เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.สัมพันธ์ หมื่นพินิจ รอง สว.สอบสวน สภ.เสาไห้ อีกครั้ง เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี พร้อมทั้งนำเอกสารหลักฐาน การพูดคุย ทางเฟซบุ๊กและแอปพิเคชันไลน์ และหลักฐานการโอนเงินเพิ่มเติมให้กับพนักงาน สอบสวน สภ.เสาไห้ เพื่อ ประกอบหลักฐานในการแจ้งความดำเนินคดี กับ น้องแจง (นามสมมติ) อายุ 32 ปีไว้แล้ว

ทั้งนี้ เฮีย ป. เปิดเผยว่า คดีตนเอง อยู่ระหว่างรอหลักฐานการยืนยันเอกสารการโอนเงินจากธนาคาร เพื่อประกอบสำนวนของตำรวจในการออกหมายเชิญน้องแจงที่มาสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายหญิงไม่ได้ติดต่อกลับมาหาตนเองเลย ตนก็พยายามติดต่อไปแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้

ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายตกเป็นกระแสข่าวว่า ไปหลอกลวงชายอื่นหลายคน ลักษณะให้โอนเงินคล้ายตนเอง ก็ทราบแล้วว่าพฤติกรรมหญิงดังกล่าวมีการหลอกลวงชายอื่นๆ เน้นชายสูงวัย ไม่ใช่ตนเองคนเดียวที่ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งตนยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับน้องแจงให้ถึงที่สุด

และอยากให้อีกฝ่ายติดต่อกับมาหาเพื่อตกลงแก้ปัญหาเรื่องนี้ มาชี้แจงมากกว่า แต่ก็จะไม่เชื่อใจแล้ว ตั้งแต่ที่ทราบว่าจากญาติฝ่ายหญิงว่า น้องแจงหนีไป อยู่ต่างประเทศ ซึ่งตนเองทราบข้อเท็จจริงว่าอีกฝ่ายหนีไปอยู่ จ.เชียงใหม่ ไม่ใช่ต่างประเทศอย่างที่เข้าใจผิดในตอนแรก

ทั้งนี้ ตนอยากเตือนสติผู้ชายที่เข้ามาในวังวนหญิงสาวรายนี้ว่า การหลอกลวงทั้งหมดเป็นช่องทางทำมาหากิน หรือเป็นอาชีพของหญิงรายนี้ อย่าหลงเชื่อไปพัวพัน ไม่งั้นจะอยู่ในสภาพแบบตนเอง และอยากให้อีกฝ่ายทำมาหากินแบบสุจริตมากกว่า ไม่อยากให้ไปทำแบบนี้กับผู้อื่น

ส่วนปัญหาการเงินขณะนี้ ตนก็เดือดร้อน ต้องหยิบยืมจากญาติๆ เพื่อประคองการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปก่อน ส่วนที่หนักใจ คือ ค่างวดรถและบัตรเครดิต 2-3 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งตนเองไม่มีรายได้ถาวร อีกทั้งช่วงนี้ ยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ต้องอาศัยญาติไปพลางๆ ก่อน ส่วนทางคดี ตำรวจยังไม่ออกหมายเรียก ซึ่งคิดว่า คงจะอีกหลายวัน.

 

แหล่งที่มา :thairath.co.th,khaosod.co.th

เรียบเรียงโดย : baansuann.com