“ลุงอเนก” วัย 56 ปี พ่อค้าข้าวต้มผัดสู้ชีวิต เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวขๅยขนมเลี้ยงลูกชายวัย 30 ปี

วันนี้เราขอนำเสนอเรื่องราวของ “พ่อค้าข้าวต้มผัด” ตระเวนเร่ขๅยขนมตามฟุตปาธ เพื่อเลี้ยงลูกชาย

“ตอนที่คุณมีเงินสักก้อนหนึ่ง คนนั้นเดินมาอ่าวเฮ้ยทำไมเพื่อนคนนี้มันดูน่าสงสารจัง พวกนี้คือเป็นเพื่อน ๆ กัน เราเห็นไม่มีเงินใช้ คือ เอาไปเลย ผมก็ช่วยเหลือ ผมก็มีเงินเยอะ ตอนนั้นเพื่อนเยอะ เงินเยอะ งานมาติด ๆ กันเลย บ้านเช่านอนไม่ได้ ต้องนอนโรงแรมตลอดเวลา”

ปกรณ์ บินโน หรือ “ลุงอเนก” วัย 56 ปีพ่อค้าขๅยข้าวต้มผัด เปิดใจถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต จากเด็กที่เติบโตในสลัม เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตที่โลดโผน ติดคุпมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ด้วยการเป็น “พ่อค้าขๅยข้าวต้มผัด” เพราะลูกชายเป็นเด็กออ

“ผมอยู่ในชุมชนแออัด เปรียบเทียบเหมือนคลองเตยดี ๆ นี่แหละ แต่ร้ายกว่า โตมาแบบโดนกดดันจากสลัม พ่อแม่ก็ไม่ได้สอนมาว่าให้เรียนให้แค่ไหน คือ เรียนแค่นั้น ไม่ได้บังคับให้เรียน หรือไม่ได้ส่งเสียให้เรียน เรียนได้แค่ไหน ก็เรียนแค่นั้น ผมจบ ป.3 เอง

ในสมัยนั้นยังแวดล้อมเต็มไปด้วยด้านไม่ดี ทำให้ลุงอเนกมีโอกาสเรียนจบแค่ชั้น ป.3 เข้าสู่วงการนักเลงตั้งแต่วัยรุ่น มีประสบการณ์ชีวิตโลดโผน ผ่านตั้งแต่สถานพินิจ ตารางมานับครั้งไม่ถ้วน

“แม่ผมเลี้ยงลูกทั้งหมด 8 ชีวิต รวมแม่เป็น 9 ก็อยู่แบบสลัม เด็ก 8 คน ตอนเช้าก็ไปเรียนหนังสือ แต่งตัวไปเรียนหนังสือทุกคน ตอนเย็นก็กลับมา ผมก็ซื้อกลับข้าว 2 วัน ซื้อข้าวถุงนึง แล้วเอาเงินมาให้แม่ทีละร้อย”

ถามเขๅว่า จริง ๆ ทำงานในทางนี้เงินหาได้ง่าย ได้จำนวนเยอะ ทำไมไม่มีไปซื้อสินทรัพย์หรือว่าบ้านช่องเลย ชายคนนี้ยอมรับว่าเงินหาง่ายในตอนนั้นจริง แต่ไม่สามารถนำเงินตรงนั้นไปซื้อสินทรัพย์ หรือลงทุนได้สร้างเนื้อสร้างตัวได้ เพราะเงินที่ได้เป็นเงินที่ผิด

แน่นอนว่า เงินรายได้จากการทำงานที่ผิด แม้จะเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่ได้สร้างความสุขให้กับชีวิต เพราะต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ และเงินเหล่านั้นมักจะหมดไปกับความสุขชั่วคราวที่ใช้แล้วหมดไป ไร้ความมั่นคงในชีวิต

“มาหยุดเอาตอนอายุ 40 กว่าปีแล้ว แม่ผมไป ก่อนที่แม่จะไปแม่บอกว่า ถ้ามึงออกมาคราวนี้ ทำตัวดี ๆ นะ เราก็รับปาก แล้วพอออกมาปุ๊บ มันก็ไม่มีใครจะเลี้ยงลูก ไม่รู้จะทำยังไง ไม่มีใครเลี้ยงลูก เราก็สองจิตสองใจว่าจะเลิกดีไหม ถ้ากูไม่เลิก หาเงินอีกสักพักไหม แล้วค่อยเลิก…”

จุดเปลี่ยนของลุงอเนก ได้ตัดสินใจเลิกเป็นนักเลง เขาจึงคิดว่า อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ด้วยอายุขณะนั้นก็ปาเข้าไปถึง 45 ปี เหลือเงินก้อนสุดท้าย 8,000 บาท

เงิน 8,000 ตอนนั้นเก็บยิ่งกว่ามีเงินเป็นล้านอีก เพราะมันเหลืออยู่ก้อนสุดท้ายแล้ว ที่เราจะพาลูกให้รอดให้ได้ ก็ไปซื้อขนมที่ตลาดพลู ตอนนั้นตลาดพลูเขามีของที่ทำส่งสำเร็จแล้ว ขนมมัน ขนมกล้วย ขนมตาล ซื้อมาก็เอามาใส่ถุงขๅย รับมา ซื้อมาขๅยไป”

ระยะเวลา 10 ปีแล้ว ที่ลุงอเนก ได้หันหลังให้วงการนักเลง แล้วมุ่งหน้าทำมาหากินสุจริต ด้วยการเป็นพ่อค้าขๅย “ข้าวต้มผัด” ตระเวนเร่ขๅยตามฟุตปาธย่านชิดลม เพื่อเลี้ยง “แกะ” ลูกชายวัย 35 ปี

กว่าจะพบเส้นทางของการเป็นพ่อค้าข้าวต้มผัดอย่างทุกวันนี้ ลุงอเนกได้ทดลองค้าขๅยมาหลายประเภท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่เคยท้อ หรือกลับไปเดินเส้นทางนักเลงเหมือนเดิม ทั้งที่มีเพื่อนฝูงในวงการนักเลงมาชักชวน หรือเอาผลประโยชน์มาล่อ

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำมาหากินสุจริตให้ได้ มีวันหนึ่งลุงอเนกได้คิดขึ้นมาว่า สมัยเด็ก ๆ เคยช่วยแม่ทำข้าวต้มผัดอยู่บ้าง จึงไปหาสูตรจากคนแถวบ้านมาทดลองฝึกหัดทำ จนออกมามีรสชาติหน้าตา ที่พอจะขๅยได้ และได้ออกเร่ขๅยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยสิ่งสำคัญ คือ กระบวนการทำข้าวต้มผัด ซึ่งกว่าจะออกมาจนขๅยได้นั้น ต้องใช้เวลาทำถึง 2 วัน

“คือ เตรียมวันนึง ห่ออีกวันนึง แล้วค่อยขๅย มันขๅยทุกวันไม่ได้แน่นอน เพราะเวลาไม่ได้ เพราะของพวกนี้มันออกขๅยตอนเช้ามืด คือ 2 วันปุ๊บ ถึงออกขๅยได้ทีนึง มันไม่ง่าย มันไม่ได้ขๅยได้ทุกวัน ขๅยช่วงเวลาเป็นวันศุกร์ วันอื่นก็ขๅยตามสาธร มีที่ชิดลม และหัวลำโพง แถวสโมสรรถไฟตำรวจ ตระเวนไปเรื่อย อาทิตย์หนึ่งไปตรงนี้ อาทิตย์หนึ่งไปตรงนั้น แต่ไม่ซ้ำกัน”

หากมองไปภาพที่ชินตา สำหรับคนในละแวกนั้น คือ ภาพของลุงอเนก และแกะ ที่มักจูงกันไป ขๅยข้าวต้มผัด ยังสถานที่ต่าง ๆ แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมา คือคำถามที่ว่า ทำไมต้องเอาลูกมาขๅยของ ซึ่งในฐานะพ่ออย่างลุงอเนก กลับมองว่าถ้าให้ลูกที่บ้าน ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวเขาจะเดินไปไหน เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ที่ลูก เคยพลัดหลงมาแล้ว

“บางคนเขามาซื้อ เห็นน้องอย่างนี้เขาก็มาช่วยซื้อ เขาเห็นว่าน้องป่วຍ เขาก็เลยมาช่วยซื้อ ผมบอกว่าเราทิ้งเขาเอาไว้ที่บ้านไม่ได้ เพราะว่าผมจะขๅยของไม่มีความสุข ก็มัวเป็นห่วงเขาไง เขาอยู่ที่บ้าน เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะเดินไปไหน เขาเดินไม่ระวังตัวด้วย เดินไปเรื่อยเปื่อย

“มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง … มันคือรสชาติของชีวิต”

ไม่เพียงแค่นั้น ถามเขๅว่ารายได้จากการขๅยข้าวต้มผัดทุกวันนี้ พอเพียงต่อการดำรงชีวิตและดูแลลูกชายไหม ชายวัย 56 ปี คนนี้นิ่งไปสักพัก ก่อนให้คำตอบไว้ว่า สิ่งที่กลับมามากกว่ารายได้ คือ ความสุขที่ได้เลี้ยงลูกมากกว่า

“พูดถึงจะพอไหม… ไม่น่าพอ แต่ว่าเราก็ต้องใช้ให้มันเซฟ ๆ หน่อย ดีที่ว่าเราไม่ต้องไปเสียค่าเช่าบ้าน เพราะลูกสาวออกค่าเช่าบ้านให้ คือ เราหากินกัน 2 คน เราก็หากินกันแค่นี้ เราก็กินน้อย ๆ หน่อย แต่ลูกชายมันไม่ค่อยน้อยเท่าไหร่ กินนมวันละ 14 กล่อง”

“พอใจกับชีวิตมาก เพราะว่าได้อยู่กับลูก ถึงเงินมันจะน้อย ถึงมันจะไม่พอใช้ แต่ยังได้อยู่กับลูก ได้เห็นหน้า ได้อยู่ใกล้ชิด ได้บอกแกะว่ามึงอย่าดื้อมาก พ่อเหนื่อຍนะเว่ย บางทีก็พูดนะ

บางทีกำลังหลับ ๆ อยู่ก็มีไปพูดว่า พ่อเหนื่อຍนะ มันไม่เข้าใจหรอก มันก็ลูบหัวเรา ลูบ ๆ ก่อนจะนอนก็โอ๋ ตกลงใครเป็นพ่อ ใครเป็นลูกกูก็ไม่รู้ ก่อนจะนอนมันต้องโอ๋ผมทุกคืนเลยนะ จับลูบโอ๋ ๆ มันโอ๋ให้เรานอน

“ผมตัดสินใจเด็ดขาดเลยว่าเลิก ก็คือ เลิก อย่างขาดเลยนะ จะขๅยขนมอย่างนี้ ไม่มีอะไรก็ทำ ๆ แต่ถ้าวนกลับไปคงไม่เอาแล้ว ผมพอแล้วกับชีวิตแบบนี้ อยากจะใช้ชีวิตกับลูก ถ้าไม่มีก็คงจะอยู่แบบนี้ อยู่ไปเรื่อย ๆ

การดูแลในวันข้างหน้า จริง ๆ แล้วผมอยากมีบ้านให้ลูกอยู่สักหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นของเราเองไม่ต้องเช่า เป็นชื่อเราเอง แล้วลูกจะได้อยู่ของมันได้ สักวันหนึ่งคงไม่มีเราหรอก เพราะเราคงไม่ได้อยู่ค้ำโลกหรอก แต่ยังไงก็จะอยู่ด้วยจนถึงที่สุด แต่ก็อยากมีเงินสักก้อนหนึ่ง ถ้ามันมีนะ ถ้ามันมีทางนะ มีเงินนะ ก็จะไปซื้อบ้านให้ลูกอยู่สักหลังหนึ่ง เอาไว้เป็นที่ซุกหัวนอนของลูก ยามไม่มีเรา

อย่าท้อ แต่ขอให้เรายึดมั่นในความดีที่เรามีในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้าเมื่อคุณไม่อยู่แล้ว คุณจะได้เอาพวกนี้ติดตัวไป ถ้าคุณทำชั่ว มันก็ติดตัวคุณไป ถ้าคุณทำความดี มันก็ติดตัวเราไป วันนี้ถึงจะมีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง ก็สบายใจ มันคือรสชาติของชีวิต”

แหล่งที่มา : ฅนจริง ใจไม่ท้อ

เรียบเรียบโดย baansuann.com