เรื่องราวเมื่อครั้ง “กรมสมเด็จพระเทพฯ” เป็นนิสิตจุฬาฯ ไม่มีใครจำพระองค์ได้เลย

วันนี้เราขอนำเสนอเรื่องเล่าสุดประทับใจที่เชื่อว่าผู้อ่านจะต้องอมยิ้มไปตาม ๆ กัน เมื่อครั้ง “กรมสมเด็จพระเทพฯ” เป็นนิสิต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ตอนแรกไม่มีใครจำพระองค์ได้เลย เพื่อนผมเคยเล่าให้ฟังว่า

สักประมาณกว่า 20 ปีที่แล้ว ขณะที่เขากำลังเดินดูหนังสือในร้านหนังสือดวงกมล ที่สยามสแควร์ ก็มีนิสิตหญิงจุฬาฯ สองสามคนเดินเข้ามาในร้าน นิสิตคนหนึ่งใบหน้าสวยคม จัดว่าสวยน่ารัก แต่ใบหน้าดูคุ้นเหลือเกิน

ทันใดนั้น เขาก็เห็นคนเริ่มไหว้บ้าง ค้อมศีรษะบ้างให้แก่นิสิตคนนั้น แต่ก็มีเสียงเอ่ยขึ้นมาอย่างเกรงใจจากนิสิตคนนั้นว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ วันนี้เป็นนิสิต มาหาซื้อหนังสือ เชิญทุกท่านตามสบายค่ะ”

ทุกคำที่เอ่ยจะมี คำว่า “ ค่ะ ” ตลอดแล้วก็หันไปยิ้มแบบเขิน ๆ กับเพื่อนที่มาด้วย กริยาช่างงามน่ารักเหลือเกิน เพื่อนผมย้ำ

ทันใด นิสิตกลุ่มนั้นก็หันไปเห็นผู้อาวุโสท่านหนึ่ง กำลังเดินดูหนังสืออยู่ในร้านเหมือนกัน จึงเดินเข้าไปหา พร้อมยกมือไหว้ผู้อาวุโสท่านนั้น และนิสิตท่านก็เป็นผู้เอ่ยทักว่า “ สวัสดีค่ะอาจารย์ มาหาซื้อหนังสือเหรอคะ ”

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสท่านนั้นก็สะดุ้ง กำลังจะก้มและย่อตัวลงในท่าทำความเคารพ แต่ความที่อยู่ในวัยชรา จึงไม่ค่อยถนัด พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ อ้าว องค์หญิง กระหม่อมมาหาซื้อหนังสือ พะยะค่ะ ”

ในตอนนั้น เพื่อนผมก็จำได้ขึ้นมาว่า นิสิตท่านนั้นก็คือ “กรมสมเด็จพระเทพฯ ” นั่นเอง

ในตอนนั้นพระเทพฯ ก็ทรงเข้ามาประคองอาจารย์ท่านนั้น พร้อมกับรับสั่ง “ ไม่เป็นไรค่ะ อาจารย์ หนูกับเพื่อน มาหาซื้อหนังสือเหมือนกันค่ะ ” เพื่อนผม บอกว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขารักและเทอดทูนเจ้าหญิงองค์น้อยเสมอมาด้วยความที่ท่านไม่ ทรงถือพระองค์ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

ผมเคยอ่านจากหนังสือสกุลไทยช่วงตอบปัญหา มีคนเขียนไปถามเจ้าของคอลัมน์ว่า …จริงหรือเปล่าที่พระองค์เคยเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ยังเมืองทองธานี เพื่อเสวยร้านอาหารโต้รุ่ง

ก็มีคำตอบว่า จริง

พระองค์เคยเสด็จอย่างส่วนพระองค์กับคุณข้าหลวงอีก 2 คน ไม่มีองครักษ์ติดตาม คือ เสด็จยังร้านอาหารตามสั่งทั่วไปริมถนน ตอนแรกไม่มีใครจำพระองค์ได้เลย แต่มี 2 สามีภรรยาคู่หนึ่งเห็นเข้า ฝ่ายสามีบอกว่า ไม่ใช่สมเด็จพระเทพฯ หรอก เพราะนี่คือร้านอาหารโต้รุ่งแล้วก็ดึกมากแล้วด้วย

แต่ฝ่ายภรรยาบอกว่า เหมือนมาก ก็โต้กันไปโต้กันมา จนพระองค์ทรงได้ยินจึงหันพระพักตร์มาทาง 2 สามีภรรยานี้แล้วตรัสว่า “ ใช่ แต่ขอให้ทำตัวตามสบาย ” เท่านั้uแหละครับ 2 คนนี้ก็ก้มลงกราบ จนคนอื่น ๆ แปลกใจ ก็หันมามองกันหมดทั้งร้าน เจ้าของร้านกับเด็กเสิร์ฟก็เพิ่งทราบ จึงรีบเข้าไปถวายความเคารพ พวกพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นก็นำอาหารของร้านตนมาถวาย จนกระทั่งเสด็จกลับไป

นี่แหละครับ……. เจ้าหญิงในใจประชาชนพระองค์จริง ๆ

จำได้ว่า ตอนที่พระองค์ท่านเสด็จในงาน concert กาชาดหลายปีแล้ว พระองค์ท่านทรงเป่า trumpet “ เพลงคู่กัด ” พอท่านทรงเป่าจบ คนดูก็ตบมือ ท่านก็ทรงรับสั่งว่า “ แปลกจัง ทำไมไม่มีเสียงกรี๊ดเลย ” คนดูก็เงียบกริบ…คงตะลึงมั้ง ท่านก็รับสั่งย้ำอีกครั้ง เท่านั้uแหละ..คนดูกรี๊ดถล่ม

ผมเคยเข้าไปเล่นคอนเสิร์ตหน้าพระที่นั่งศาลา ดุสิตาลัย เมื่อสิบห้าปีก่อน พระเทพฯ ทรงประชวรหวัดเล็กน้อย แต่ก็ตรัสก่อนพวกผมเล่นกันว่า “ วันนี้ไม่มีเสียงกรี๊ดนะเป็นหวัด ” พอตอนเล่น ผมเลยบังอาจถวายแซวพระองค์ท่านว่า “ ในฐานะรุ่นน้องจุฬาฯ ขอพระราชทานอนุญาตเอ่ยพระนามพระองค์ว่า พี่น้อยก็แล้วกัน วันนี้ขอให้พี่น้อย หายหวัดเร็ว ๆ นะครับ ”

คนดูในศาลาดุสิตาลัยเงียบกริบ ผมก็ชักหนาวสันหลังว่า เหิมเกริมไปหรือเปล่า เพื่อนร่วมวงรีบชิงพูดต่อว่า มหาดเล็กครับ ช่วยยิงให้ถูกคนด้วยแล้วกัน คนเลยฮากันตึง รอดไป นั้น

มีเพลงหนึ่งชื่อ เพลงกล้วยไข่ ผมก็แปลงเป็นว่า ……. แปลกใจจริง พระเทพฯ ชอบอะไร พระเทพฯ ชอบกล้วยไข่ เพราะว่าพระองค์ทรงโปรด ลัล ลัล ลัล ลา ตอนไปรับพระราชทานดอกไม้จากพระหัตถ์ ผมไปยกมือไหว้ท่าน ท่านก็ตรัสย้อนผมว่า “ ใครเค้าไหว้กัน เค้าโค้งจ้ะ ”

จากนั้นท่านก็ตรัสว่า “ ใครบอกฉันชอบกล้วยไข่ ฉันชอบกล้วยน้ำว้าย่ะ ”

ผมไม่เคยลืมสักภาพเดียวเลยครับ ตอนเป็นนักเรียนแถวสามย่าน พระองค์ท่านเป็นนิสิตแล้ว ผมเคยแอบไปเดิน “ ส่อง ” รถพระที่นั่งซึ่งจอดอยู่หน้าหอประชุมจุฬาฯ เห็นมีขนมขบเคี้ยวสารพัดใส่โหลเอาไว้ 2-3 โหล ทุกวัน

ตลอด 4 ปีที่ทรงศึกษาอยู่ ผู้คนที่ต้องผ่านสัญจรแถวนั้น ไม่เคยต้องเดือดร้อนกับการกั้นรถขบวนเป็นชั่วโมง ๆ เพียงรถพระที่นั่ง 1 คัน กับรถตำรวจนำอีก 1 ที่ไม่เคยเปิดไซเรน ไม่เคยเปิดโทรโข่ง ไม่ เคยฝ่าไฟแดง

เห็นพวกนักการเมือง มีตำรวจนำตำรวจตาม วิ่งย้อนศร กั้นรถให้แซงลัดคิวแล้ว…… นึกถึงสิ่งที่ พระองค์ปฏิบัติทุกครั้ง LONG LIVE OUR BELOVED PRINCESS

แหล่งที่มา: กลุ่มพิทักษ์รักราชันย์

เรียบเรียงโดย baansuann.com